วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การเล่นตะกร้อ(มาจากเว็ป วิกิพิเดีย)

ตะกร้อ เป็นการละเล่นของไทยมาแต่โบราณ แต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด แต่คาดว่าราว ๆ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศอื่นที่ใกล้เคียงก็มีการเล่นตะกร้อ คนเล่นไม่จำกัดจำนวน เล่นเป็นหมู่หรือเดี่ยวก็ได้ ตามลานที่กว้างพอสมควร ตะกร้อที่ใช้เดิมใช่หวายถักเป็นลูกตะกร้อ ปัจจุบัน นิยมใช้ลูกตะกร้อพลาสติก
การเตะตะกร้อเป็นการเล่นที่ผู้เล่นได้ออกกำลังกายทุกสัดส่วน ฝึกความว่องไว ความสังเกต มีไหวพริบ ทำให้มีบุคลิกภาพดี มีความสง่างาม และการเล่นตะกร้อนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของไทยอย่างหนึ่ง
ประวัติความเป็นมา ในการค้นคว้าหลักฐานเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดการเล่นกีฬาตะกร้อในอดีตนั้น ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจนว่าตะกร้อนั้นกำเนิดจากที่ใด จากการสันนิษฐานคงจะได้หลายเหตุผลดังนี้
- พม่า เมื่อประมาณพ.ศ. 2310 พม่ามาตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้น ก็เลยเล่นตะกร้อ ซึ่งพม่าเรียกว่า "ชิงลง"
- ทางมาเลเซียก็ประกาศว่า ตะกร้อเป็นกีฬาของประเทศมาลายูเดิมเรียกว่า ซีปักรากา (Sepak Raga) คำว่า Raga หมายถึง ตะกร้า
- ทางฟิลิปปินส์ ก็นิยมเล่นกันมานานแล้วแต่เรียกว่า Sipak
- ทางประเทศจีนก็มีนักกีฬาที่คล้ายกีฬาตะกร้อแต่เป็นการเตะตะกร้อชนิดที่ลูกเป็นหนังปักขนไก่ ซึ่งจะศึกษาจากภาพเขียนและพงศาวดานชาวจีน
- ทางประเทศเกาหลีก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับของจีนแต่ลักษณะของลูกตะกร้อจะแตกต่างไป คือ ใช้ดินเหนียวห่อด้วยผ้าสำลีเอาหางไก่ฟ้าปัก
- ประเทศไทยก็นิยมเล่นกีฬตะกร้อมายาวนาน และ ประยุกต์จนเข้ากับประเพณีของชนชาติไทยอย่างกลมกลืนและสวยงามทั้งด้านทักษะและความคิด
การเล่นตะกร้อมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตามลำดับทั้งด้านรูปแบบและวัตถุดิบในการทำจากสมัยแรกเป็นผ้า,หนังสัตว์,หวาย,จนถึงประเภทสารสังเคราะห์ (พลาสติก)

[แก้] ลักษณะการเล่น

ตะกร้อหวาย
การเล่นตะกร้อสามารถเล่นได้หลายแบบ ดังนี้
การเล่นเป็นทีม ผู้เล่นจะล้อมเป็นวง ผู้เริ่มต้นจะใช้เท้าเตะลูกตะกร้อไปให้อีกผู้หนึ่งรับ ผู้รับจะต้องมีความว่องไวในการใช้เท้ารับและเตะส่งไปยังอีกผู้หนึ่ง จึงเรียกวิธีเล่นนี้ว่า "เตะตะกร้อ" ความสนุกอยู่ที่การหลอกล่อที่จะเตะไปยังผู้ใด ถ้าผู้เตะทั้งวงมีความสามารถเสมอกัน จะโยนและรับไม่ให้ตะกร้อถึงพื้นได้เป็นเวลานานมาก กล่าวกันว่าทั้งวันหรือทั้งคืนก็ยังมี แต่ผู้เล่นยังไม่ชำนาญก็โยนรับได้ไม่กี่ครั้ง ลูกตะกร้อก็ตกถึงพื้น
การติดตะกร้อ(เล่นเดี่ยว) การเล่นตะกร้อที่มีชื่อเสียงมากของไทยคือ การติดตะกร้อ เป็นศิลปะการเล่นตะกร้อ คือ เตะตะกร้อให้ไปติดอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย และต้องถ่วงน้ำหนักให้อยู่นาน แล้วใช้อวัยวะส่วนนั้นส่งไปยังส่วนอื่น โดยไม่ให้ตกถึงพื้น เช่น การติดตะกร้อที่หลังมือ ข้อศอก หน้าผาก จมูก เป็นต้น นับว่าเป็นศิลปที่น่าชม ผู้เล่นต้องฝึกฝนอย่างมาก
ตะกร้อติดบ่วง การเตะตะกร้อติดบ่วง ใช้บ่วงกลมๆแขวนไว้ให้สูงสุด แต่ผู้เล่นจะสามารถเตะให้ลอดบ่วงไปยังผู้อื่นได้ กล่าวกันว่าบ่วงที่เล่นเคยสูงสุดถึง 7 เมตร และยิ่งเข้าบ่วงจำนวนมากเท่าไรยิ่งแสดงถึงความสามารถ

[แก้] ท่าเตะ
ท่าเตะตะกร้อมีหลายท่าที่แสดงให้เห็นถึงความงดงามและความว่องไว ตามปกติจะใช้หลังเท้า แต่นักเล่นตะกร้อจะมีวิธีเตะที่พลิกแพลง ใช้หน้าเท้า เข่า ไขว้ขา(เรียกว่าลูกไขว้) ไขว้ขาหน้า ไขว้ขาหลัง ศอก ข้อสำคัญ คือ ความเหนียวแน่นที่ต้องรับลูกให้ได้เป็นอย่างดีเมื่อลูกมาถึงตัว ผู้เล่นมักฝึกการเตะตะกร้อด้วยท่าต่าง ๆ ลีลาในการเตะตะกร้อมี 4 แบบ คือ การเตะเหนียวแน่น (การรับให้ได้อย่างดี) การเตะแม่นคู่ (การโต้ตรงคู่) การเตะดูงามตา (ท่าเตะสวย มีสง่า) การเตะท่ามาก (เตะได้หลายท่า)

ตะกร้อ เป็นบทความเกี่ยวกับ กีฬา นักกีฬา หรือ ทีมกีฬา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหาหรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับ ตะกร้อ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ หรือ ดูเพิ่มที่โครงการทุกอย่างเกี่ยวกับกีฬา

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับดูแลสุขภาพ

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น *** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย *** 1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง 2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ 3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ 4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์ 7) ไม่สูบบุหรี่ จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........ บทความนี้นำมาจากฝ่ายส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลมิชชั่น "เปิดโลกหน้าเหลือง" ฉบับที่ 33 ประจำเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2545 วารสารสำหรับลูกค้าสมุดหน้าเหลืองไทยแลนด์ เยลโล่เพลเพส จาก : ปริญญาได - 30/07/2002 20:06

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การเลือกซื้ออาหาร

การเลือกซื้ออาหาร
หลักในการเลือกซื้ออาหาร
หลักการเลือกซื้ออาหารที่ถูกสุขลักษณะ
อาหาร หมายถึงอาหารสด อาหารแห้ง อาหารกระป๋อง อาหารปรุงสำเร็จ เครื่องดื่ม น้ำดื่ม น้ำแข็ง นมและผลิตภัณฑ์นม สารปรุงแต่งอาหาร ซึ่งมีหลักการในการเลือกซื้ออาหารที่ถูกสุขลักษณะ โดยคำนึงถึง หลัก 3 ป. คือ ปลอดภัย ประโยชน์ ประหยัด
ปลอดภัย คือ ต้องเลือกซื้ออาหารที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย ผลิตจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยมีลักษณะ สีสัน กลิ่น รสชาติ ตามธรรมชาติ ในกรณีที่เป็นอาหารที่มีการควบคุมตามกฎหมาย จะต้องมีเครื่องหมาย/สัญลักษณ์แสดงให้เห็น เช่น เครื่องหมาย อย. เครื่องหมาย มอก. ที่สำคัญคือ จะต้องเลือกซื้ออาหารที่ใหม่ สดโดยดูจากวันที่ผลิต หรือ วันหมดอายุบนฉลากบรรจุอาหารเป็นสำคัญ
ประโยชน์ คือ ต้องเลือกซื้ออาหารที่มีคุณค่า คุณประโยชน์ทางโภชนาการ การเลือกซื้ออาหารบริโภคต้องคำนึงถึงคุณค่าอาหารให้ครบถ้วน เหมาะสมกับความต้องการ
ประหยัด คือ ต้องเลือกซื้ออาหารตามฤดูกาลที่ผลิตในท้องถิ่น เพื่อจะได้อาหารที่มีคุณภาพดี ราคาถูก หาซื้อได้สะดวก
หลักการเลือกซื้ออาหารสด
1. การเลือกซื้อผัก
การเลือกซื้อผักสดบางชนิด
- เผือก มัน เลือกหัวที่มีน้ำหนักมาก เนื้อแน่น ผิวเรียบ ไม่มีตำหนิ
- หัวไชเท้า เลือกหัวที่ไม่งอ ขนาดกลางยังอ่อนๆ มีผิวเรียบ
- กะหล่ำปลี เลือกหัวแน่นๆ จะมีน้ำหนักมาก
- ผักที่เป็นฝัก เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา เลือกฝักอ่อนๆ สีเขียว เนื้อแน่นไม่ฝ่อ ฝักแก่จะมีสีขาวนวล
- ผักที่เป็นใบ เช่น ผักคะน้า ผักกาดหอม ฯลฯ เลือกต้นที่มีสีเขียวสด ไม่เหี่ยว ไม่มีรอยช้ำ ต้นใหญ่ ใบติดโคนแน่น
- มะเขือเปราะ มะเขือยาว เลือกขั้วติดแน่น สีสด น้ำหนักมาก ไม่เหี่ยว
- แตงร้าน เลือกลูกที่มีน้ำหนักมาก ลูกยาว สีเขียวอ่อน ไม่มีรอยช้ำ ผิวนวล
- แตงกวา แตงกวาผิวเขียว ดีกว่าผิวขาวนวล ผิวเขียวเนื้อหนาเมล็ดเล็ก เนื้อจะกรอบ กว่าผิวขาวนวล ซึ่งมีเนื้อน้อยและเหนียว
- มะนาว เลือกที่มีเปลือกบาง ผิวเรียบไม่เหี่ยว
- ฟักทอง เลือกลูกที่มีน้ำหนักมาก ผิวเปลือกขรุขระ เนื้อจะแน่น
2. การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ (เนื้อ/หมู)
การเลือกซื้อเนื้อหมู ควรเลือกเนื้อหมูที่มีสีชมพู มันสีขาว หนังเกลี้ยง และขาว ถ้าเป็นหมูแช่เย็นค้างคืนเนื้อจะมีสีซีด สำหรับหมูสามชั้น ควรเลือกที่มีมันบาง มีเนื้อหลายชั้น หนังขาว ไม่มีพังผืด ระหว่างชั้นหนังหมูสะอาด เนื้อหมูสามารถนำมาปรุงอาหารหลายชนิด แต่ต้องเลือกเนื้อหมูให้เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้นๆ ด้วย เช่น การทำแกงจืดชนิดต่างๆ ควรใช้หมูสามชั้นมาสับให้ละเอียดใช้ใส่แกงจืด หมูสับจะมีความนุ่ม รสชาติดี หรือถ้าจะทำหมูแดง ควรใช้เนื้อหมูสันใน เพราะจะมีความนุ่มมากกว่าการใช้เนื้อส่วนอื่นๆ
การเลือกซื้อเนื้อวัว ควรเลือกเนื้อที่มีสีแดง มันมีสีเหลือง ถ้าเนื้อไม่สดจะมีสีเขียวคล้ำๆ แต่ถ้าเป็นเนื้อควายจะต่างจากเนื้อวัว โดยสังเกตดูจากมันของเนื้อควายจะมีสีขาวและเนื้อหยาบมากกว่า การเลือกซื้อเนื้อวัวก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับอาหารชนิดนั้นๆ ด้วย เช่น ถ้าเป็นการผัด ควรต้องเลือกเนื้อสะโพก เพราะมีความนุ่มปานกลาง
3. การเลือกซื้อเนื้อสัตว์ (เป็ด/ไก่)

การเลือกซื้อเนื้อไก่ นอกจากจะดูความสดแล้ว ต้องดูว่าเป็นไก่แก่หรือไก่อ่อน เพราะจะเหมาะกับการปรุงอาหารแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นไก่ทั้งตัวก็จะมีข้อสังเกตคือ
- ไก่แก่ ปลายเล็บมน หนังใต้อุ้งเท้าจะหนาแข็ง เดือยจะยาว
- ไก่อ่อน เล็บจะแหลม หนังใต้อุ้งเท้าจะบาง เดือยจะสั้น ถ้าเป็นสาวจะไม่เห็นเดือยไก่ที่สมบูรณ์ เนื้ออกจะหนาและนุ่ม
การเลือกซื้อเนื้อเป็ด ควรเลือกซื้อเป็ดที่อ้วน และให้สังเกตดูว่าเป็ดแก่หรือเป็ดอ่อน สังเกตจากปากและตีนเป็ด ถ้าปากและตีนเป็นสีเหลือง แสดงว่าเป็นเป็ดอ่อน ถ้าเป็นเป็ดแต่ตีนจะมีสีดำ เนื้อจะเหนียวและมีกลิ่นสาบมาก
4. การเลือกซื้ออาหารสด ปลา/กุ้ง/หอย/ปู/ปลาหมึก
การเลือกซื้อปลา ควรจะเลือกปลาที่ตาใส เกล็ดและหนังไม่ขุ่น เนื้อแน่น เมื่อกดดูไม่บุ๋มตามรอยนิ้วมือ เนื้อไม่แข็งทื่อ ไม่มีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นตามลักษณะของปลาแต่ละชนิด เหงือกมีสีสด
การเลือกซื้อกุ้ง ควรซื้อกุ้งที่มีหัวติดแน่งกับตัวไม่หลุดง่ายเนื้อแข็ง ตาใส เปลือกใส ตัวโต
การเลือกซื้อปู การเลือกซื้อปู โดยเฉพาะปูที่ยังไม่ตาย โดยเฉพาะปูทะเลดูน้ำหนักตัว และความแน่น โดยการกดดูตรงส่วนอก ถ้าเนื้อแน่นกดไม่บุ๋ม แสดงว่าเป็นปูใหม่
การเลือกซื้อหอย ควรเลือกซื้อหอยที่หุบปากแน่น เมื่อวางไว้จะดำ และหุบอย่างรวดเร็วเมื่อเอามือไปแตะไม่มีกลิ่นเหม็น สำหรับหอยที่แกะเปลือกแล้ว ต้องมีสีสด น้ำที่แช่ไม่มีเมือกและกลิ่นเหม็น

5. การเลือกซื้อผลไม้
การเลือกซื้อผลไม้บางชนิด
- ส้มเขียวหวาน เลือกที่มีเปลือกบาง มีสีเขียวเหลือง น้ำหนักพอสมควร เช่น 1 กิโลกรัม มีส้มอยู่ 7 ลูก
- สับปะรด เลือกตาใหญ่ เปลือกสีเขียวอมเหลือง
- มังคุด เลือกขนาดเล็ก ผิวเรียบ
- ลางสาด เลือกผลยาวรี ผิวสีเหลืองนวล จับดูเนื้อนุ่ม ใกล้ขั้วมีสีเหลืองออกน้ำตาล
- เงาะ เลือกเงาะสดไม่เหี่ยว
- ชมพู่ ผิวเรียบไม่มีแมลงกัดกิน ลูกใหญ่
- องุ่น เลือกที่เป็นพวง ลูกใหญ่

การเลือกซื้อเครื่องปรุงรสอาหาร
เครื่องปรุงรสอาหาร ได้แก่ สิ่งที่ใช้ในขบวนการปรุงรสอาหาร ให้มีรูปแบบรสชาติ กลิ่นที่ชวนรับประทาน เครื่องปรุงรสอาหารที่ใช้ประจำวัน ได้แก่ น้ำปลา น้ำส้มสายชู ซอส ผงชูรส ปัญหาของเครื่องปรุงรสอาหาร คือ ผู้ปรุง-ประกอบอาหาร ขาดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับสารเคมีที่ใช้กับอาหารทำให้ มีการนำสารเคมีที่ห้ามใช้กับอาหารมาใส่อาหารให้กรุบ กรอบ การใช้ ฟอร์มาลีนในอาหารทะเล ผักบางชนิดให้ดูสด สีสันดูใหม่คงเดิม เป็นต้น
ฉะนั้น เพื่อให้การใช้เครื่องปรุงรสอาหารเป็นไปอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ จึงควรใช้ให้ถูกขนาด ตามชนิดเครื่องปรุงรสอาหาร และใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น หลักการเลือกซื้อเครื่องปรุงรสอาหาร คือ สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน โดยสังเกตจากลักษณะทั่วไปของเครื่องปรุงรสอาหาร
- ภาชนะบรรจุต้องสะอาด ควรปิดสนิท ในกรณีเป็นภาชนะกระป๋อง ต้องอยู่ในสภาพดี เรียบทั้งฝาและก้น
- ฉลาก จะต้องแสดงชื่อเครื่องปรุงรสอาหาร น้ำหนักสุทธิ/ปริมาณสุทธิเป็นระบบเมตริก
- ส่วนประกอบ เครื่องหมายมาตรฐาน ( อย./หรือ มอก.)ชื่อ และที่ตั้ง สถานที่ผลิต วัน เวลาที่ผลิต/หมดอายุ
สภาพของอาหาร ต้องสะอาด ไม่มีตะกอน มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน หรือลักษณะตามธรรมชาติของเครื่องปรุงรสอาหาร เช่น น้ำปลา ซีอิ้ว ต้องใส ไม่มีตะกอน
ข้อควรจำที่สำคัญ คือ ห้ามซื้อเครื่องปรุงรสอาหารที่แบ่งขาย ไม่มีฉลาก และเครื่องหมายเลขทะเบียนตำรับอาหาร เพราะอาจจะเป็นอันตรายจากสารเคมีที่ใช้ในการปน ปลอมได้
การเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จ
อาหารปรุงสำเร็จ ได้แก่ อาหารที่ผ่านการปรุง ประกอบ พร้อมที่จะนำมาเสิร์ฟและบริโภคได้ เช่น แกงเผ็ด แกงจืด ผัดผัก ปลาทอด ไก่ย่าง เป็นต้น มีหลักการเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จ ที่สำคัญ คือ
สภาพทั่วไป ต้องสังเกตสีสัน กลิ่น รส ของอาหารให้เป็นไปตามปกติ ไม่มีสีดำคล้ำ หรือ ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เน่าเสีย หรือ ไม่มีสีสันที่เข้มจนผิดปกติ ลักษณะการเก็บอาหารปรุงสำเร็จ ระหว่างรอการจำหน่าย จะต้องเก็บในตู้ หรือภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดป้องกันสัตว์นำโรคได้ และต้องสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 ซ.ม. และต้องอยู่ห่างจากที่ล้างมือ/ล้างภาชนะอุปกรณ์อย่างน้อย 1 เมตร เพื่อป้องกันการกระเซ็นของน้ำสกปรกมาปนเปื้อน ในกรณีอาหารปรุงสำเร็จที่จำหน่ายตามแผงลอย ควรบรรจุในถุงพลาสติกที่ใช้บรรจุอาหารร้อน หรือบรรจุในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด
เลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จ จากสถานที่ปรุง ประกอบ จำหน่ายอาหารที่ได้มาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย เชื่อถือได้และสังเกตว่ามีการนำอาหารปรุงสำเร็จมาอุ่นให้ร้อนเป็นระยะทุก 2 ชั่วโมง สังเกตลักษณะการเตอาหารปรุงสำเร็จเพื่อจำหน่าย จะต้องเสิร์ฟอย่างถูกสุขลักษณะ มีทัพพี/ที่หยิบจับอาหารแยกเฉพาะในแต่ละประเภทอาหาร
ข้อสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ เมื่อเลือกซื้ออาหารปรุงสำเร็จจากสถานที่ปรุง ประกอบ จำหน่ายอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ก่อนบริโภคควรนำมาอุ่นให้ร้อนก่อน และในกรณีที่จะเก็บไว้นาน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค และป้องกันการเน่าเสียของอาหารปรุงสำเร็จ
การเลือกซื้ออาหารพร้อมปรุง
อาหารพร้อมปรุง หมายถึง อาหารสดที่ได้จัดเตรียมส่วนประกอบต่างๆ นำมาบรรจุในภาชนะเดียวกัน เพื่อจะได้จำหน่ายให้กับผู้บริโภค สำหรับนำไปปรุง ประกอบเป็นอาหารชนิดหนึ่ง เช่น ชุดอาหารพร้อมปรุงสำหรับแกงเขียวหวานไก่ , อาหารพร้อมปรุงชุดปลากะพงสามรสเป็นต้น ปัญหาของอาหารพร้อมปรุงที่พบเป็นประจำ คือ ปัญหาอาหารพร้อมปรุงที่ไม่สด หรือ ผู้บริโภคไม่สามารถรู้กำหนดวันหมดอายุ/วันผลิตอาหารพร้อมปรุง ประเภทนั้น
ฉะนั้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับอาหารพร้อมปรุงที่สะอาด ปลอดภัย สด ใหม่ และคุ้มค่า กระทรวงสาธารณสุขจึงกำหนดอาหารพร้อมปรุงเป็นอาหารที่มีฉลาก การเลือกซื้ออาหารพร้อมปรุงจึงต้องสังเกต
ฉลากอาหารพร้อมปรุง ต้องมีชื่ออาหาร ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต วัน และเดือนที่ผลิต รวมทั้งคำแนะนำในการเก็บรักษาอาหารพร้อมปรุง
ภาชนะบรรจุ จะต้องสะอาด ได้มาตรฐาน สามารถปกปิดอาหารพร้อมปรุง ป้องกันการปนเปื้อนได้
การวางจำหน่าย อาหารพร้อมปรุง ตามห้างสรรพสินค้า จะต้องวางจำหน่ายในตู้แช่เย็น อุณหภูมิต่ำ กว่า 7 องศาเซลเซียส สังเกตได้จากเครื่องวัดอุณหภูมิที่ตู้แช่เย็นตามห้างสรรพสินค้า
สังเกตวัน เดือนที่ผลิตบนฉลาก ควรเลือกซื้อของที่ผลิตใหม่ ไม่ควรเลือกซื้ออาหารพร้อมปรุงที่ผลิตเกิน 3 วัน เพราะอาจจะเกิดการเน่าเสียได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อซื้ออาหารพร้อมปรุงมาเพื่อปรุง ประกอบ เป็นอาหาร ควรจะต้องล้างทำความสะอาดอีกครั้งก่อนนำมาปรุง และระหว่างรอการปรุง ประกอบควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อลดอัตราการเน่าเสียและการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สถาที่สำคัญของประติศาสต์สมัยกรุงสรีอยุธยา

ความรู้เกี่ยวกับประวัติของกรุงศรีอยุธยา สถานที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยว ประวัติวัด เกร็ดความรู้ต่างๆของชาวกรุงเก่า ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น ประเพณีเสด็จออกแขกเมือง ประเพณีการแต่งผมสตรีอยุธยา ประเพณีเดือนสิบสอง ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีการลงแขกทำนา นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการทำมีดอรัญญิก การไหว้ครูเตาของชาวต้นโพธิ์-ไผ่หนอง อำเภอท่าเรือและการจำหลักเครื่องไม้
(

เทคนิคการเล่นบาส

-->

ทำอย่างไรให้ลอยตัวในอากาศได้นานและกระโดดได้สูง
มีขอแนะนำในสิ่งที่เหมาะกับสภาพนักกีฬาในบ้านเรานะครับวิธีง่ายๆก็คือ การวิ่งเพื่อความอดทนโดยวิ่งรอบสนามอย่างน้อย 4 รอบ(1,600 เมตร) อย่างน้อย ประมาณ 1 เดือน แล้วจึงค่อยเพิ่มความเร็วโดยการวิ่งระยะสั้น สลับกับการวิ่งระยะยาว ต่อมาในเดือนที่ 2 เดือนที่ 3 ควรเน้นหนักในการฝึกการกระโดด ดังนี้ 1.กระโดดข้ามกล่องกระดาษซึ่งมีความสูงประมาณ 1 ฟุต กว้าง 1 ฟุต กระโดดเท้าคู่ไปทางด้านข้าง ซ้ายที ขวาที2.กระโดดยกเข่าแตะอก3.กระโดดยกส้นเท้าแตะก้น4.กระโดดข้ามกล่องกระดาษ 4 กล่องซึ่งวางเรียงกัน โดยแต่ละกล่องห่างกัน 2 ฟุต กระโดดเท้าคู่ข้ามทีละกล่องอย่างต่อเนื่อง5.กระโดดเอามือแตะขอบแป้นบาส6.กระโดดอยู่กับที่อย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง พยายามเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เน้นการถีบตัวกระโดดให้สูงขึ้นแต่มีข้อแนะนำวิธีการกระโดด เพราะเห็นนักกีฬาจำนวนมากที่บาดเจ็บหัวเข่า เนื่องจากกระโดด ไม่ถูกวิธี โดยการกระโดดที่ถูกวิธีนั้นจะต้องย่อตัวทั้งก่อนกระโดด และหลังการกระโดดขึ้นไปแล้ว เมื่อปลายเท้าแตะพื้นจะต้องย่อตัวพร้อมทั้งเหยียบพื้นเต็มเท้า ก่อนการกระโดดจะต้องย่อตัวลง (ย่อตัวนะครับไม่ใช้ก้มตัว) เขย่งส้นเท้าขึ้น จิกปลายเท้าให้แน่นแล้วถีบ ตัวขึ้นไป เมื่อลงสู่พื้นก็ใช้ปลายเท้าลงจึงตามด้วยส้นเท้าแล้วย่อตัว อย่าใช้ส้นเท้าลงก่อนปลายเท้าเพราะจะทำให้น้ำหนักทั้งตัว ลงที่ส้นเท้าจะเจ็บส้นเท้าและอาจเป็นรอยช้ำ เมื่อเหยียบพื้นเต็มเท้า ให้ทิ้งตัวย่อลงอย่ายืนตัวแข็ง เพราะจะทำให้หัวเข่ารับน้ำหนัก และบาดเจ็บที่หัวเข่าได เมื่อฝึกทุกอย่างแล้วให้สลับฝึกทุกวันเช่น วิ่งระยะยาว วิ่งเร็ว กระโดด ความคล่องตัว ทำเป็นประจำคุณก็จะสามารถกระโดดได้สูงและลอยตัวในอากาศ ได้นานกว่าเดิมแน่นอน
ทำอย่างไรจึงยืนป้องกันได้ดี
การยืนป้องกันจะต้องอยู่ในท่าย่อตัวหรือท่าสมดุล ยืนเต็มฝ่าเท้า น้ำหนักอยู่กึ่งกลางฝ่าเท้าทั้งสองข้างและให้มี ความรู้สึกว่าน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่ที่ก้นคล้ายกับว่าเรานั่งบนเก้าอี้ เมื่ออยู่ในท่าย่อขณะป้องกันจะต้องมองไปที่ท้องของผู้ถือบอล ยืนห่างจากผู้ถือบอล 1 ช่วงแขน ห้ามมองที่ตาหรือบอลเด็ดขาด(เพราะอาจโดนหลอกเอาง่ายๆ) บอลจะเคลื่อนไปได้ด้วยมือโยกไปมา แต่ถ้าร่างกายเคลื่อนจะต้องมีการเคลื่อนไหวทั้งลำตัว ดังนั้นท้องจะต้องเคลื่อนไปด้วย ถ้าท้องเคลื่อนจึงค่อยเคลื่อนไปตามทิศทาง ที่ท้องเคลื่อนไป
ทำอย่างไรให้เลี้ยงบอลได้คล่อง
สิ่งแรกที่จะทำให้เราเลี้ยงบอลคล่องแคล่วว่องไว จนกระทั่งสามารถหลบหลีกการป้องกันของคู่แข่งขัน คือ "การจัดลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง" ท่าทางที่ถูกต้องจะต้องอยู่ในท่าย่อตัว หรือถ้าจะพูดให้เกิดภาพที่ชัดเจนคือท่า "นั่งเก้าอี้" ถ้าถนัดมือขวาให้ใช้เท้าซ้ายอยู่เหนือเท้าขวา ช่องว่างระหว่างเท้ากว้างกว่าหัวไหล่ เท้าซ้ายคล่มบังบอลทำมุมประมาณ 45 องศา กับเท้าขวา (ทิศทางที่จะเลี้ยงไปถือว่าเป็นมุม 90 องศา กับลำตัวที่ยืนตรง เท้าซ้ายทำมุม 45 องศา กับด้านขวาของลำตัว) ในขณะที่หัวไหล่ทำมุมประมาณ 25 องศา ยกแขนซ่ายขึ้นในขณะที่เลี้ยงบอลช้าหรือขณะที่มีผู้ป้องกันจะเข้ามาแย่งบอล เมื่ออยู่ในลักษณะท่าทางที่ถูกต้อง ผู้ป้องกันจะไม่สามารถแย่งบอลได้ ถ้าผู้ป้องกันเข้ามาทางด้านขวามือ ผู้เลี้ยงจะหมุนตัวกลับเปลี่ยนทิศทางไปด้านซ้ายมือ โดยเปลี่ยนเลี้ยงบอลด้วยมือซ้ายและยกมือขวาขึ้นมาบังด้านหน้าไว้ ฝึกการเปลี่ยนทิศทางการพาบอลเช่น เปลี่ยนจากขวาไปซ้ายด้านหน้า เปลี่ยนจากซ้ายไปขวาด้านหน้า เปลี่ยนโดยการหมุนตัว เปลี่ยนโดยารตวัดหลัง เปลี่ยนโดยลอดระหว่างขาฝึกเลี้ยงบอลทุกวันโดยการพยายามจับจังหวะการขึ้นลงของบอลให้มือควบคุมลูกบอลได้ตลอดเวลา เมื่อ ประมาทสั่งให้ทำอะไรมือก็ต้องทำได้เช่นให้ไปซ้ายมือก็ต้องพาบอลไปด้านซ้าย เป็นต้น อย่าลืมนะครับการที่จะเลี้ยงบอลคล่องต้องฝึกตามวิธีการที่ถูกต้องทุกวัน

การเล่นฟุตบอล

การเคลื่อนไหวในกีฬาฟุตบอลเป็นไปได้หลายรูปแบบ เช่น การทุ่มลูกบอล การหยุดลูกบอล การเลี้ยงลูกบอล การโหม่งลูกบอล และการเตะลูกบอลในท่าต่าง ๆ เป็นต้น พลังกล้ามเนื้อเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากประการหนึ่งของกีฬาฟุตบอล ที่จะทำให้การเคลื่อนไหวในการเล่นฟุตบอลมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการเคลื่อนไหวเกือบทุกอย่างของร่างกายในการเล่นฟุตบอล ต้องการพลังกล้ามเนื้อเพื่อต่อสู้กับแรงต้านทาน กล่าวคือ นักกีฬาฟุตบอลจำเป็นต้องมีพลังงานกล้ามเนื้อขาที่ดี ในการเตะสกัดลูกบอลได้ไกลและวิ่งเข้าแย่งยิงประตูได้อย่างรวดเร็ว และอีกประการที่สำคัญ กีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาประเภทที่เล่นติดต่อกันเป็นเวลานานแต่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ การทำงานของกล้ามเนื้อจะเป็นแบบผสม คือ บางครั้งต้องใช้ความอดทนและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การวิ่งขึ้น-ลงตลอดระยะเวลา 90 วินาที และบางครั้งต้องใช้พลังกล้ามเนื้อ เช่น การเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อเข้าแย่งลูกบอลหรือการวิ่งแข่งยิงประตูในระยะใกล้ พลังกล้ามเนื้อยังมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้ทันที คือ เมื่อกล้ามเนื้อมีพลังมากก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น จึงสามารถเคลื่อนไหวได้ซ้ำ ๆ และบ่อยกว่า และยังพบว่าพลังกล้ามเนื้อ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความคล่องแคล่วของร่างกาย เพราะเมื่อเกล้ามเนื้อมีพลังเพียงพอในการควบคุมน้ำหนักของร่างกายต่อต้านแรงเฉื่อย จะทำให้ร่างกายส่วนต่าง ๆ เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น นอกจากนั้น พลังกล้ามเนื้อยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มความเร็ว [พลัง (Power) เท่ากับ แรง (Force) คูณด้วยความเร็ว (Velocity)] เพราะต้องการแรงมากเพื่อเร่งร่างกายให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง (ชูศักดิ์ เวชแพศย์ และกันยา ปาละวิวัธน์. 2536 : 262-263) ในปัจจุบันผู้ฝึกกีฬาชั้นนำของโลกได้นำการฝึกด้วยน้ำหนัก (Weight Training) กับการฝึกแบบพลังโอเมตริก (Plyometric Training) มาฝึกพร้อม ๆ กันในการฝึกคราวเดียวกัน ซึ่งในยุโรปเรียกว่า การฝึกแบบผสมผสาน (Complex Training) ซึ่งเป็นการฝึกเพื่อเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ (Muscular Power) โดยใช้การฝึกกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนัก (Weight Training) แล้วตามด้วยการฝึกแบบพลัยโอเมตริก (Plyometric Training) ทันทีในแต่ละชุด ซึ่งใช้ท่าฝึกที่ใช้กลุ่มกล้ามเนื้อเดียวกัน เช่น การฝึกด้วยน้ำหนักท่าเลก เพรส (Leg Press) จำนวน 5 ครั้ง แล้วตามด้วยการฝึกแบบพลัยโอเมตริกท่าริม จั๊มพ์ (Rim Jump) จำนวน 5 ครั้ง แล้วพัก 3 - 5 นาที ซึ่งเป็นการฝึกที่รวมเอาความแข็งแรงและการเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเข้าไว้ด้วยกัน และยังเป็นการพัฒนาให้เกิดพลังระเบิด (Explosive Power) จัดเป็นแนวทางการฝึกที่มีประสิทธิภาพและเป็นการกระตุ้นระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromuscular System) รวมทั้งสร้างความหลากหลายในการฝึกซ้อมให้กับนักกีฬา (Chu. 1992 : 23-24) ดังนั้น ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาความสนใจที่จะศึกษาผลการฝึกแบบผสมผสาน (Complex Training) ที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อ ว่ามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างไร ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำผลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการฝึกซ้อมและการพัฒนากีฬาฟุตบอล ซึ่งอาจนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนากีฬาอื่น ๆ ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป แนวคิดทฤษฎี - 1.การฝึกด้วยชั่งหนัก (Weight Training) 2.การฝึกแบบพลัยโอเมตริก (Plyometric Training) 3.การฝึกแบบผสมผสาน (Complex Training) 4.การเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ วัตถุประสงค์ - 1.เพื่อทราบผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ 2.เพื่อเปรียบเทียบผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อ ในระยะเวลาที่ต่างกัน สมมุติฐานการวิจัย - กลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน มีผลต่อพลังกล้ามเนื้อแตกต่างกัน ระเบียบวิธีวิจัย - วิจัยเชิงทดลอง ประชากร/กลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักกีฬาฟุตบอลชายที่อยู่ในชมรมกีฬาฟุตบอลและกำลังศึกษาอยู่ในสถาบันโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2544 จำนวน 50 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักกีฬาฟุตบอลชายที่อยู่ในชมรมกีฬาฟุตบอลและกำลังศึกษาอยู่ในสถาบันโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม ปีการศึกษา 2544 จำนวน 20 คน แบ่ง กลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ จำนวน 10 คน และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน จำนวน 10 คน ตัวแปร - นิยามศัพท์ - การฝึกด้วยน้ำหนัก (Weight Training) หมายถึง การฝึกเพื่อเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ โดยการใช้น้ำหนักเป็นแรงต้นทาน เช่น ดัมเบลล์ (Dumbbell)d บาร์เบลล์ (Barbell) และอุปกรณ์แบบสถานี (Stationary Machine) เป็นต้น การฝึกแบบพลัยโอเมตริก (Plyometric Training) หมายถึง การฝึกกล้ามเนื้อเพื่อเชื่อมโยงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกับความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดพลังกล้ามเนื้อ เช่น การกระโดดแบบต่าง ๆ (Jumping) เป็นต้น การฝึกแบบผสมผสาน (Complex Training) หมายถึง การฝึกเพื่อเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อ โดยใช้การฝึกกล้ามเนื้อด้วยน้ำหนักแล้วตามด้วยการฝึกแบบพลัยโอเมตริกในแต่ละชุด ซึ่งใช้ท่าฝึกที่ใช้กลุ่มกล้ามเนื้อเดียวกัน เช่น การฝึกด้วยน้ำหนักท่าเลกเพรส (Leg-Press) แล้วตามด้วยการฝึกแบบพลัยโอเมตริกท่าริม จั๊มพ์ (Rim Jump) เป็นต้น พลังกล้ามเนื้อ (Muscular Power) หมายถึง ความสามารถในการหดตัวหรือออกแรงในการทำงานของกล้ามเนื้อเพียงหนึ่งครั้งในการปล่อยแรง (Force)d ออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย - เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย โปรแกรมการฝึกแบบผสมผสาน เครื่องมือวัดพลังกล้ามเนื้อ วิธีการรวบรวมข้อมูล - การวิเคราะห์ข้อมูล - 1. คำนวณค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ของ พลังกล้ามเนื้อของกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสานในระยะเวลาที่ต่างกัน 2. เปรียบเทียบผลของพลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน ในระยะเวลาที่ต่างกัน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองตัวแปรต่อหนึ่งตัวแปรแบบวัดซ้ำ (Two-face Experiment with Repeated Measures on One Ractor) 3. เปรียบเทียบผลของพลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน ในระยะเวลาที่ต่างกัน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Analysis of Variance) 4. เปรียบเทียบผลของพลังกล้ามเนื้อของกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ ใน ระยะเวลาที่ต่างกัน และกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน ในระยะเวลาที่ต่างกัน โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนหนึ่งตัวแปรแบบวัดซ้ำ (One-Factor Experiment with Repeated with Repeated Measures) (Ferguson and Takane. 1989 : 350-351) 5. ภายหลังการวิเคราะห์ความแปรปรวน หากพบค่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะทำการ ทดสอบค่าความแตกต่างรายคู่ของการฝึกในระยะเวลาที่ต่างกันของแต่ละกลุ่ม โดยวิธีของตูกี (Tukey) ที่ระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 สรุปผลวิจัย - 1. พลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการเล่น กีฬาฟุตบอลและเสริมการฝึกแบบผสมผสาน ก่อนการฝึก, หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 10 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 1.1 พลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติและกลุ่มที่ฝึกการ เล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 1.2 พลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการ เล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 1.3 พลังกล้ามเนื้อระหว่างกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ และกลุ่มที่ฝึกการ เล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 10 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. พลังกล้ามเนื้อของกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลตามปกติ ก่อนการฝึก, หลังการฝึก สัปดาห์ที่ 4, 8 และ 10 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. พลังกล้ามเนื้อกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสมผสาน ก่อนการฝึก, หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4, 8 และ 10 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และระยะเวลาในการฝึกมีอย่างน้อย 1 คู่ที่แตกต่างกัน 3.1 พลังกล้ามเนื้อของกลุ่มที่ฝึกการเล่นกีฬาฟุตบอลและเสริมด้วยการฝึกแบบผสม ผสาน หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 และ 10 แตกต่างกับก่อนการฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ- ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ในการศึกษาผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีผลต่อพลังกล้ามเนื้อนั้น ควรศึกษาปัจจัย ทางด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Strength) และความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย เนื่องจากการเพิ่มพลังกล้ามเนื้อ (Muscular Power) สามารถทำได้โดยการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อ เพราะพลัง เท่ากับแรง (Force) คูณด้วยความเร็ว (Velocity) จะสามารถช่วยอธิบายผลของการศึกษาพลังกล้ามเนื้อที่เกิดจากการฝึกแบบผสมผสาน ได้ว่าพลังกล้ามเนื้อเกิดจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหรือความเร็วในการหดตัวของกล้ามเนื้อ หรืออาจจะเป็นผลมาจากทั้งสองอย่างร่วมกันได้ถูกต้องและชัดเจนขึ้น 2. ควรเปรียบเทียบผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อกับนักกีฬาประเภท อื่น ๆ 3. ควรเปรียบเทียบผลการฝึกแบบผสมผสานที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อก่อนการฝึกซ้อมกีฬา ตามปกติกับหลังการฝึกซ้อมกีฬาตามปกติ
ประโยชน์ของการเล่นกีฬาฟุตบอล1. เป็นกีฬาที่ช่วยฝึกฝนให้ผู้เล่นมีไหวพริบที่ชาญฉลาดและแก้ปัญหาอย่างฉับพลันได้ดี2. ช่วยทำให้ระบบต่างๆภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขั้น เช่น ระบบกล้ามเนื้อระบบการหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบไหลเวียนโลหิตดีขั้น3.ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ช่วยส่งเสริมกิจกรรมที่รวมการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์เกือบทุกชนิด เช่น การวิ่งหลบหลีก หลอกล่อ การแย่ง การรับ การส่ง การกระโดด การเตะ ตลอดจนการใช้เท้าให้สัมพันธ์กับสายตาด้วย4. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีกฏ กติกา ผู้เล่นต้องเคารพและปฏิบัติตามกฏ กติกาการแข่งขัน ดังนั้นการเล่นฟุตบอล ช่วยสอนให้ผู้เล่นรู้จักความยุติธรรม ปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตอันพึงควรกระทำ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้รู้จักการเคารพสิทธิของผู้อื่น มีความอดกลั้น อดทน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น5. ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ส่งเสริมให้เกิดความรักใคร่สามัคคีในหมู่คณะ6. สำหรับผู้เล่นฟุตบอลที่ดีย่อมมีโอกาสได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของชาติ ยังเป็นหนทางที่ทำให้คนรู้จัก อันเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอีกทางหนึ่งด้วย7. ปัจจุบันผู้เล่นมีความสามารถสูงยังมีสิทธิได้เข้าศึกษาต่อระดับสูงบางสาขา
งานและกำลังใจในชีวิต ของ ร.ต.ท.เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (ทูตกีฬา) และ อัสราภา วุฒเวทย์src='http://www.sakulthai.com/images/sakulthai/2472/4.jpg'>คงไม่บ่อยนักที่ผู้อ่านสกุลไทยจะได้เห็นภาพนักกีฬาหนุ่มขึ้นแผ่นปกคู่กับภรรยาสาว “นักเตะลูกหนัง” ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย สังกัดสโมสรราชประชา กับท่าตีลังกากลางสนามฟุตบอล เป็นภาพที่เจนตามากสำหรับ “แฟนบอล” ชาวไทย เพราะทุกครั้งที่เขายิงประตูให้แก่ทีมชาติไทยได้สำเร็จ เขามักจะออกท่าตีลังกาท่ามกลางความดีใจและเสียงปรบมือของ “แฟนบอล” ที่มานั่งลุ้นชมการแข่งขันเสมอๆ “นักเตะ” ผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือฉายา “ซิโก้” (ZICO) “จอมตีลังกา” ผู้คว้ารางวัล... - เหรียญทองซีเกมส์สี่สมัย - ดาวซัลโว กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 20 ปี 2542 - นักกีฬายอดเยี่ยม ESPN ปี 2543 - นักฟุตบอลยอดเยี่ยม ESPN ปี 2543 - นักเตะทรงคุณค่า (MVP) Tiger Cup ปี 2543 - นักเตะดีเด่น Sanyo ปี 2544 และดาราเอเซีย ปี 2544 จากสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเซีย ในฐานะที่เป็นนักฟุตบอลอาชีพผู้ยิงประตูได้มากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ขณะที่นั่งสนทนาอยู่กับเรา “ซิโก้” เพิ่งสมรสกับอัสราภา วุฒิเวทย์ ผู้จัดการส่วนตัวของเขา และกำหนดเล่นฟุตบอลให้แก่สโมสรฮองอันยาลาย (Hong Anh Gia Lai) ประเทศเวียดนาม เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากที่สิ้นสุดสัญญากับสโมสรอาร์มฟรอสของประเทศสิงคโปร์หมาดๆ แต่ก่อนหน้านั้น เขามีโอกาสก้าวไปถึงการเล่นฟุตบอลอาชีพในแดนลูกหนังยุโรป โดยร่วมทีมกับสโมสรฮัดเดอร์ฟิลทาวน์ ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 1 ปี และเคยเล่นให้แก่สโมสรเปอลิส ประเทศมาเลเซีย ไม่แปลกที่ชื่อของ “ซิโก้” นักฟุตบอลทีมชาติไทย มิเคยห่างหายไปจากวงการกีฬา นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๕ อันเป็นปีที่ ร.ต.ท.เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มีโอกาสติดทีมชาติครั้งแรก หากได้ฟังเขาเล่าว่า “ตอนสมัยเด็กใฝ่ฝันแค่อยากติดทีมชาติสักครั้งเดียว ครั้งเดียวก็พอ แต่พอมาถึงวันนี้ ผมเล่นฟุตบอลอาชีพมา ๑๐ ปีแล้ว เพราะฉะนั้นคงต้องพิสูจน์ตัวเองอีกระดับหนึ่ง ผมยังอยากจะเล่นบอลอาชีพ ผมจะต้องใฝ่หาความฝันต่อไปอีก ที่เคยคิดว่าแค่นี้พอแล้ว แต่คนเราทุกคนความต้องการไม่พอหรอก ผมยังอยากจะเดินทางต่อไปอีก” เพราะฉะนั้น เป้าหมายการเล่นฟุตบอลร่วมทีมกับฮองอันยาลายในประเทศเวียดนาม จึงคือคำตอบแห่งการเดินทางไปข้างหน้าอย่างชัดเจนของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ “ผมคงจะลุยไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ การไปเล่นที่เวียดนาม ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดี ถึงแม้ว่ามาตรฐานการเล่นฟุตบอลของเวียดนามยังสู้ประเทศไทยไม่ได้ สมัยก่อนตอนแข่งซีเกมส์ ทีมไทยชนะเวียดนามตลอด แต่ทุกครั้งที่เราพบกับเขา เราก็รู้สึกค่อนข้างหนักตลอดเหมือนกัน ทำให้คิดว่าถ้าไปเล่นร่วมกับเขา คงมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น เพราะผมเองก็ต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ และได้ยินมาว่าขณะนี้ชาวเวียดนามเขากำลังคลั่งไคล้กีฬาฟุตบอลมาก ผู้ที่ติดต่อมาเขาบอกว่าเขาอยากให้ผมไปเล่นที่นั่น เพราะหลายครั้งที่ไทยแข่งบอลกับเวียดนาม ผมเป็นคนยิงประตูให้ทีมชาติเวียดนามแพ้ตลอด เขาจึงอยากเห็นภาพซิโก้ยิงประตูและตีลังกา ช่วงแรกเขาให้เราเซ็นสัญญา ๔ เดือนก่อน เพราะว่าช่วงนี้ที่เวียดนามเขาปิดการแข่งขันฟุตบอลครึ่งฤดูกาลแล้ว ถ้าเราสามารถปรับตัวและโชว์ฟอร์มได้ดี ในฤดูกาลหน้าเราอาจจะได้เซ็นสัญญากับเขาต่อ” ทว่าสิ่งที่เหนือจากนั้น ไม่ใช่ชัยชนะ ไม่ใช่การบรรลุความฝันของชายหนุ่มเพียงฝ่ายเดียวแล้วในวันนี้ แต่เขาอยากเป็นแบบอย่างให้แก่น้องๆ เยาวชนไทยผู้มีความชื่นชอบและมีความฝันใฝ่ในกีฬาฟุตบอลเฉกเช่นเดียวกับเขาได้รู้ว่า “การเล่นฟุตบอลสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน เล่นกีฬาทุกวันนี้ ไม่ใช่ไส้แห้ง ถ้าเรามีความตั้งใจจริง มีความมุ่งมั่น เราก็สามารถสร้างอาชีพจากการเล่นฟุตบอลได้ สามารถสร้างรายได้ที่ดีให้แก่ครอบครัว ขอเพียงแต่ให้มีความพยายามและความอดทน” โครงการ “ฟุตบอลเพื่อน้อง” จึงจัดตั้งขึ้นโดยทุนส่วนตัวขั้นต้นของ ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และเงินสนับสนุนจากสินค้าเสื้อผ้าชุดกีฬาในนาม “แพน”(PAN) “ตอนอยู่ที่ฮัดเดอร์ฟิลทาวน์ ประเทศอังกฤษ เมื่อสองปีที่แล้ว ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถ้าเรามีโอกาสทำอะไรอีกสักอย่างหนึ่ง เราอยากจะให้โอกาสเด็ก เพราะสมัยก่อนตอนที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด กว่าจะมีฟุตบอลเตะสักลูก กว่าจะมีรองเท้าเตะฟุตบอลสักคู่ มันลำบากมาก ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่พ่อซื้อลูกฟุตบอลมาให้ผมเล่น ผมเอาไปนอนกอดด้วยเลย แต่พอวันนี้เรามีโอกาสแล้ว เราก็อยากจะเหลียวกลับไปมองเด็กๆ ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเหมือนเขา ผมอยากจะนำอุปกรณ์การกีฬาไปแจกให้แก่เด็กชนบท จึงคิดโครงการ “ฟุตบอลเพื่อน้อง” ขึ้นมา และได้ทำหนังสือชื่อ “ล้านกำลังใจ... ให้ใครคนหนึ่ง” ใช้งบประมาณไปสามแสนกว่าบาท โดยเอาเงินส่วนตัวของผมและเงินสนับสนุนอีกส่วนหนึ่งจากผลิตภัณฑ์แพน มาลงทุนจัดพิมพ์แล้ววางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วประเทศเพื่อนำรายได้ทั้งหมดเข้าโครงการ “ฟุตบอลเพื่อน้อง” และยังนำรายได้บางส่วนไปจัดการแข่งขันฟุตบอลซิโก้คัพที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมเอง สร้างบรรยากาศการแข่งขันกีฬาฟุตบอล เปิดโอกาสให้เด็กๆ ระดับชั้นประถมและมัธยมจัดทีมมาประลองฝีมือกัน โรงเรียนไหนที่ชนะการแข่งขัน ก็ได้รับทุนการศึกษาหนึ่งแสนสองหมื่นบาท นอกจากนี้ ยังมีการประกวดกองเชียร์ด้วย ถือว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จพอสมควรครับ ทางอำเภอน้ำพองเขาก็เตรียมงานดีมาก มีพิธีเปิด-พิธีปิดการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ แต่ละโรงเรียนที่เข้าแข่งขันให้ความสำคัญกับโครงการนี้มาก ผมให้สัญญากับเขาด้วยว่าถ้าในระยะห้าปีนี้ ทุกอย่างมีการพัฒนาขึ้น เราจะไปจัดให้เขาอีก เพื่อสานฝันของเด็กให้เป็นจริง ลึกๆ แล้ว ผมก็รู้สึกอิจฉาแกมดีใจว่าเมื่อก่อนเราไม่มีอะไรเลย แต่มาวันนี้ เราเอาสิ่งเหล่านั้นไปให้เขา อยากให้น้องๆ ได้นำไปคิด และก้าวไปให้ถึงสิ่งที่มุ่งหวัง ให้ดีกว่าผมทุกวันนี้” ไม่เพียงเท่านั้น นามของ ร.ต.ท.เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นักกีฬาฟุตบอลไทย ผู้สั่งสมชื่อเสียง ประสบการณ์ และมีความหนักแน่นในการเล่นฟุตบอลอาชีพมาตลอดสิบปี จึงทำให้ได้รับเกียรติเป็น “ทูตกีฬา” ด้วยความสนับสนุนส่งเสริมของผลิตภัณฑ์ชุดกีฬา “ไนกี้” (NIKE) ซึ่งมีสัญญาตั้งแต่ปี ๒๕๔๔-๒๕๔๗ ไนกี้เขาอยากให้ผมไปพบกับเด็กๆ ซึ่งเขาจัดโครงการฟุตบอล “ไนกี้ พรีเมียร์ ลีก” ให้แก่เด็กๆ ที่คลองเตย เขาจึงให้ผมเป็นทูตกีฬาไนกี้ และเซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วย ครั้งแรกๆ เขาให้ผมร่วมกิจกรรมกีฬาฟุตบอลกับเด็กและเยาวชนในประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์ แต่ตอนนี้ได้มาคุยกันใหม่แล้วว่า เราจะต้องเซ็นสัญญาเหมือนกับนักกีฬาฟุตบอลยุโรปเลย คือเป็นทูตกีฬาเดินทางไปทั่วโลก แล้วแต่ว่าเขาจะวางโปรเจ็คท์ให้เราไปร่วมกิจกรรมที่ไหนอย่างไร” คำว่า “ทูตกีฬา” นั้น ก็หมายถึง ผู้เป็นตัวแทนนำการกีฬาลงไปสู่เด็กและเยาวชนในสังคม เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตคนรุ่นใหม่ให้มีความสุข สนุกกับการเล่นกีฬา และเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้แก่วงการกีฬาในอนาคตต่อไป “ซิโก้” เปิดเผยความรู้สึกภายในใจที่ได้รับเลือกให้เป็น “ทูตกีฬา” ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติสำหรับตัวเอง เพราะเคยคิดว่าเวลาที่เราเลิกเล่นบอลแล้ว เราจะทำอย่างไรให้เด็กๆ ของเรามีโอกาสเล่นฟุตบอลก้าวสู่ระดับโลกได้ ตัวผมเองก็ยังไม่เคยไปสัมผัสกับฟุตบอลโลกเลย ยังไม่เคยไปสัมผัสกับกีฬาโอลิมปิก ผมจึงอยากเห็นเด็กของเรา ประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลอาชีพ ซึ่งเราจะทำอย่างไร ระหว่างตัวผมกับไนกี้ เราจะต้องช่วยกันอย่างไร เพื่อพยายามพัฒนาเด็กของเราให้ทัดเทียมนานาประเทศ” ตลอดหลายปีที่ผ่านไป นักฟุตบอลหนุ่มผู้นี้จึงใช้เวลาหนึ่งเดือนในช่วงปิดฤดูกาลการแข่งขันในแต่ละปี สละเวลาไปร่วมทำกิจกรรมสนับสนุนการเล่นกีฬาฟุตบอลแก่เยาวชนในชุมชนต่างๆ ของสังคมไทย “ผมอยากเห็นเด็กไทยของเราก้าวไปสู่แนวหน้า อยากมีส่วนให้โอกาส ให้ชีวิต ให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง การสอนบอลเด็กหรือการให้คำแนะนำแก่เด็ก เพื่อจะให้เขาเก่งเลย เป็นไปได้ยาก แต่เราต้องให้โอกาสเขาก่อน ทุกวันนี้นักเตะของเมืองไทยยังขาดแคลนอยู่ ทั้งที่ทั่วประเทศเรามีการเล่นฟุตบอลกันเยอะ แต่ยังไม่ได้รับโอกาสให้พัฒนาตัวเอง และยังไม่มีโอกาสได้ติดทีมชาติ อย่างประเทศญี่ปุ่นเขาจะวางแผนในการเล่นฟุตบอลและการพัฒนาการเล่นให้แก่เด็กอย่างต่อเนื่อง กระทั่งก้าวมาถึงการติดทีมชาติชุดใหญ่ ส่วนบ้านเรา ผู้เล่นยังน้อยอยู่ ผมอยากเห็นทีมชาติไทยได้ลงสนามบอลโลกสักครั้ง ถึงแม้ว่าตัวเองอาจจะไม่มีโอกาสได้ไป แต่ก็อยากเห็นน้องๆ ที่เราปลุกปั้นมา ไปบอลโลก” เมื่อคนคนหนึ่งเดินทางมาถึงจุดหนึ่งในชีวิต ซึ่งใครหลายคนอาจเฝ้ามองดูว่านั่นเป็นจุดสูงสุดที่มิใช่ทุกคนจะสามารถเหยียบย่างขึ้นไปได้โดยง่าย ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อาจจะเป็นบุคคลในจำนวนน้อยที่กล้าเดินตามความฝันและไขว่คว้าดวงดาวมาครอบครองจนสำเร็จ แต่ตัวเขาเองกลับบอกว่า “กว่าจะเป็นซิโก้อย่างทุกวันนี้ กว่าที่จะมายืนอยู่ตรงแถวหน้าของวงการฟุตบอลเมืองไทยได้ ผมต้องออกจากบ้าน มาอยู่กรุงเทพฯ อยู่ที่วัด อยู่ที่โรงเรียน กว่าจะสะสมประสบการณ์ สะสมความสามารถสิบปี และยังอีกหลายๆ ปีต่อไป มันไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่สบาย ลำบากมามาก กว่าจะมายืนตรงจุดนี้ ต้องพูดว่ามันไม่ง่ายเลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะความพยายามและความอดทน” หากว่าความฝันนั้นคือเรื่องจริง ความล้มเหลว ความท้อแท้ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น แต่ในโลกแห่งความจริงที่ไม่เคยทำให้ใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง หัวใจของมนุษย์ในบางครั้งจึงต้องพานพบกับความผิดหวัง พ่ายแพ้ เพื่อที่จะได้รับสิ่งอันทรงคุณค่าตอบแทนกลับมาในภายหลัง นั่นคือกำลังใจของใครสักคน ซึ่งอาจจะสูงค่ามากกว่าชัยชนะทั้งหมดที่เคยมี ประสบการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับนักฟุตบอลดาราเอเชียอย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ มาแล้วเช่นกัน “ช่วงที่ผมอยู่ที่ฮัดเดอร์ฟิล ประเทศอังกฤษ ไม่มีความสุขเลย เราพบกับปัญหารอบด้าน แทบทำให้ผมเลิกเล่นบอลไปเลย ช่วงนั้นรู้สึกว่าขาดกำลังใจมากๆ หมดความหวังที่จะพิสูจน์ให้แฟนบอลชาวไทยเห็นว่าผมประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอลกับสโมสรฮัดเดอร์ฟิลทาวน์” แต่สิ่งที่ทำให้นักฟุตบอลหนุ่มผู้นี้ ลุกขึ้นมาต่อสู้และตั้งหลักใหม่ได้ ก็คือ คุณเปิ้ล- อัสราภา (วุฒิเวทย์) เสนาเมือง ซึ่งเดินทางไปร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันตลอดหนึ่งปีเต็มที่อังกฤษ “ตั้งแต่แรกเปิ้ลตั้งใจจะไปส่งผม แล้วบินกลับ แต่พอเธอได้ไปเห็นปัญหาของผม เธอกลับเป็นห่วง และอยู่ต่อ ร่วมลุยด้วยกัน ช่วยเหลือกัน หนึ่งปีที่อยู่ที่นั่น มีแต่ปัญหา มีแต่สิ่งที่เราต้องช่วยกันแก้ไข เพราะว่าเปิ้ลเธอเก่งเรื่องภาษามาก เธอช่วยประสานงานให้ผม พิจารณาเรื่องสัญญาต่างๆ ของผม เป็นล่ามให้ผมกับโค้ชและผู้จัดการทีม เปิ้ลช่วยทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้น มันเหมือนกับว่าเราเดินไปด้วยกัน เราช่วยกัน หลายๆ ครั้งเราฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ ทุกอย่างจึงออกมาดี ผมคิดว่าเปิ้ลมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผมกลับมามีกำลังใจที่จะเล่นฟุตบอลต่อไป เวลาที่อยู่ในสนาม ผมไม่ได้นึกถึงใครหรอก เพราะคิดแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะยิงประตูได้ แต่ตอนอยู่นอกสนาม เปิ้ลเธอมีส่วนช่วยผมมาก เธอยังปลอบใจผมว่า เราไม่ได้สู้คนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่เขากำลังสู้อยู่กับเรา เรามาอยู่ที่นี่ เราอาจจะมาอย่างราชสีห์ หรือว่าจะกลับไปอย่างสุนัข แต่ก็ไม่มีใครอยากเห็นผมล้มเหลวหรอก บางช่วงที่ผมเครียดและกดดันมากๆ เปิ้ลก็บอกว่าอย่าไปเครียดเลย เพราะฟุตบอลคือกีฬา กีฬาย่อมมีแพ้ มีชนะ ผมทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว” นอกจาก กำลังใจจากคนสำคัญ ชายหนุ่มเล่าอีกว่า ผมได้รับคำปลอบใจที่แฟนบอลชาวไทยส่งไปให้ด้วย ทั้งแฟ็กซ์ จดหมาย การ์ด เยอะมากครับ ทำให้ผมยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่ฮัดเดอร์ฟิลได้ แต่ในขณะที่เรากำลังรู้สึกหมดหวังกับทุกอย่าง ผมจึงรวบรวมคำคม คำกลอนต่างๆ ที่แฟนบอลชาวไทยแสดงน้ำใจส่งไปให้ผม จัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาชื่อว่า “ล้านกำลังใจ...ให้ใครคนหนึ่ง” เพื่อจำหน่ายหารายได้เข้าโครงการ “ฟุตบอลเพื่อน้อง” ผมคิดว่าถ้ามีใครคนอื่นเป็นเหมือนกับผมในตอนนั้น ก็อาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ มีความหวังที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะช่วงที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิต ทุกคนสามารถอยู่อย่างสบาย แต่เมื่อเกิดปัญหา ผมอยากให้ทุกคนมีกำลังใจ สามารถเผชิญกับอุปสรรค มีชีวิตที่ยืนหยัดต่อไปได้ “ ฝ่ายคุณเปิ้ล - อัสราภา ภรรยาของนักเตะหนุ่มก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าตอนนี้เธอไม่ได้เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้แก่สามีแล้ว นอกจากงานหลักที่ยังช่วยดูแลอย่างจริงจัง คือเรื่องของสัญญาการเล่นกีฬาฟุตบอลกับสโมสรต่างประเทศ และสัญญาด้านสื่อโฆษณา นอกจากนี้ สิ่งที่เธอต้องดูแลเป็นพิเศษอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การจัดเตรียมอาหารเสริม วิตามิน อุปกรณ์รักษาสุขภาพ เพื่อให้ “ซิโก้” นำติดไปรับประทานและใช้ประโยชน์เวลาที่ต้องเล่นฟุตบอลอยู่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องภายในบ้าน เธอจะดูแลให้ดีที่สุด เนื่องจากว่าเธอติดภารกิจหน้าที่ช่วยงานครอบครัว ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการให้การแนะแนวด้านการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยต่างประเทศแก่นักเรียนไทย จึงไม่สามารถติดตามสามีไปด้วยได้ แต่ถ้าหากช่วงใดที่หน้าที่การงานของเธอเบาบางลง เธอก็จะเดินทางไปให้กำลังใจแก่เขาอย่างใกล้ชิดที่ประเทศเวียดนาม ดังนั้น การไปอยู่ต่างประเทศของอีกฝ่ายคงมิใช่ปัญหาที่ทำให้เธอและเขาห่างไกลกัน อย่างไรก็ตาม ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ยังเปิดเผยว่าการเล่นฟุตบอลคืออาชีพของเขา เขารักที่จะทำงานในอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น แต่คงบอกไม่ได้ว่าอายุสักเท่าไหร่ เขาจึงจะเลิกเล่นกีฬาฟุตบอล เพราะเหตุผลเพียงสอง